ตามที่ท่านผู้อ่านเห็น ในตลาดมีผู้ผลิตและให้บริการตู้น้ำหยอดเหรียญก็มีอยู่มากมายหลายยี่ห้อ อีกทั้งคุณสมบัติต่างๆ ยังเหมือนกันอีกด้วย เช่น กำลังการผลิต 800 ลิตรต่อวัน, 1,200 ลิตรต่อวัน (คุณสมบัติแต่ละอันเหมาะกับสถานที่แบบใด สามารถหาอ่านได้จากบทความอื่นๆ ของเราครับ) อีกทั้งยังมีหลายราคา ซึ่งแน่นอนว่าราคานั้นจะสะท้อนต้นทุนของการผลิตและผลกำไรที่ผู้ผลิตคาดไว้ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเงินที่เราจ่ายไปนั้น จะได้ของดีราคาถูก หรือของห่วยราคาแพง เราจึงมีข้อแนะนำสั้นๆ 3 สิ่งที่จำเป็นต้องรู้ก่อนซื้อตู้น้ำดื่ม ดังนี้
1.เลือกดูจากวัสดุหลักที่ผู้ผลิตเลือกใช้ เรามีตัวอย่างให้ 4 ชิ้น คือ
- วาล์วควบคุมการผลิต สำหรับในรายที่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายมักจะเลือกใช้วาล์วที่ทำจากพลาสติก ซึ่งสามารถใช้งานได้ในระยะหนึ่ง แต่เมื่อหมดประกันไปแล้วก็จะเสียแทบในทันที ทำให้ผู้ซื้อต้องควักกระเป๋าจ่ายค่าซ่อมทั้งที่ยังอาจจะไม่คืนทุนเลย แต่ในรายที่มีความรับผิดชอบจะเลือกใช้วาล์วที่ทำจากทองเหลือง ซึ่งมีอายุใช้งานนานกว่า อีกทั้งยังราคาแพงกว่ากันประมาณ 500 – 1,000 บาทเลยทีเดียว
- ปั๊มผลิตและปั๊มจ่าย เรามักจะพบปั๊มที่ผลิตในจีนหรือในเม็กซิโกซึ่งโรงงานยังไม่ได้มาตรฐานพอถูกนำมาติดตั้งในระบบเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย นอกจากเรื่องอายุการใช้งานที่สั้นกว่าแล้ว เรื่องของความปลอดภัยก็น้อยกว่าด้วย เพราะขาดระบบตัดการทำงานเมื่อร้อนจัดด้วย โดยปั๊มเหล่านี้จะทำให้ผู้ผลิตที่เลือกใช้ปั๊มมาตรฐานต่ำนั้นประหยัดไปได้ 2,000 บาท
- ช่องรับเหรียญ อุปกรณ์ชิ้นนี้ก็เป็นอีกชิ้นที่สามารถเลือกหาตัวที่คุณภาพไม่สูงแต่ราคาถูกได้ โดยเมื่อใช้ไป รุ่นที่ถูกมักจะทำให้เกิดปัญหาการกินเหรียญ หรือไม่รับเหรียญได้ ซึ่งจะทำให้ขาดรายได้อย่างมาก
- หม้อแปลงไฟฟ้า ในระบบตู้น้ำ ระบบไฟฟ้ามีความสำคัญที่สุดเพราะใช้ให้พลังงานในระบบและควบคุมการผลิต การเลือกใช้หม้อแปลงคุณภาพแย่ มักจะทำให้ได้ไฟฟ้าไปที่อุปกรณ์ต่างๆ ไม่เต็มที่ จะเป็นผลให้อุปกรณ์นั้นๆ มีความสึกหรอหรือเสียหายได้ง่ายขึ้นด้วย
3 สิ่งต้องรู้ก่อนซื้อตู้น้ำหยอดเหรียญ
ตามที่ท่านผู้อ่านเห็น ในตลาดมีผู้ผลิตและให้บริการตู้น้ำหยอดเหรียญก็มีอยู่มากมายหลายยี่ห้อ อีกทั้งคุณสมบัติต่างๆ ยังเหมือนกันอีกด้วย เช่น กำลังการผลิต 800 ลิตรต่อวัน, 1,200 ลิตรต่อวัน (คุณสมบัติแต่ละอันเหมาะกับสถานที่แบบใด สามารถหาอ่านได้จากบทความอื่นๆ ของเราครับ) อีกทั้งยังมีหลายราคา ซึ่งแน่นอนว่าราคานั้นจะสะท้อนต้นทุนของการผลิตและผลกำไรที่ผู้ผลิตคาดไว้ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเงินที่เราจ่ายไปนั้น จะได้ของดีราคาถูก หรือของห่วยราคาแพง เราจึงมีข้อแนะนำสั้นๆ 3 สิ่งที่จำเป็นต้องรู้ก่อนซื้อตู้น้ำดื่ม ดังนี้
1.เลือกดูจากวัสดุหลักที่ผู้ผลิตเลือกใช้ เรามีตัวอย่างให้ 4 ชิ้น คือ
- วาล์วควบคุมการผลิต สำหรับในรายที่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายมักจะเลือกใช้วาล์วที่ทำจากพลาสติก ซึ่งสามารถใช้งานได้ในระยะหนึ่ง แต่เมื่อหมดประกันไปแล้วก็จะเสียแทบในทันที ทำให้ผู้ซื้อต้องควักกระเป๋าจ่ายค่าซ่อมทั้งที่ยังอาจจะไม่คืนทุนเลย แต่ในรายที่มีความรับผิดชอบจะเลือกใช้วาล์วที่ทำจากทองเหลือง ซึ่งมีอายุใช้งานนานกว่า อีกทั้งยังราคาแพงกว่ากันประมาณ 500 – 1,000 บาทเลยทีเดียว
- ปั๊มผลิตและปั๊มจ่าย เรามักจะพบปั๊มที่ผลิตในจีนหรือในเม็กซิโกซึ่งโรงงานยังไม่ได้มาตรฐานพอถูกนำมาติดตั้งในระบบเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย นอกจากเรื่องอายุการใช้งานที่สั้นกว่าแล้ว เรื่องของความปลอดภัยก็น้อยกว่าด้วย เพราะขาดระบบตัดการทำงานเมื่อร้อนจัดด้วย โดยปั๊มเหล่านี้จะทำให้ผู้ผลิตที่เลือกใช้ปั๊มมาตรฐานต่ำนั้นประหยัดไปได้ 2,000 บาท
- ช่องรับเหรียญ อุปกรณ์ชิ้นนี้ก็เป็นอีกชิ้นที่สามารถเลือกหาตัวที่คุณภาพไม่สูงแต่ราคาถูกได้ โดยเมื่อใช้ไป รุ่นที่ถูกมักจะทำให้เกิดปัญหาการกินเหรียญ หรือไม่รับเหรียญได้ ซึ่งจะทำให้ขาดรายได้อย่างมาก
- หม้อแปลงไฟฟ้า ในระบบตู้น้ำ ระบบไฟฟ้ามีความสำคัญที่สุดเพราะใช้ให้พลังงานในระบบและควบคุมการผลิต การเลือกใช้หม้อแปลงคุณภาพแย่ มักจะทำให้ได้ไฟฟ้าไปที่อุปกรณ์ต่างๆ ไม่เต็มที่ จะเป็นผลให้อุปกรณ์นั้นๆ มีความสึกหรอหรือเสียหายได้ง่ายขึ้นด้วย
2.เลือกดูจากไส้กรองที่ผู้ผลิตเลือกใช้
โดยปกติมาตรฐานไส้กรองที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลาย คือ Water quality, NSF และ FDA ของสหรัฐอเมริกา โดยส่วนใหญ่ผู้ผลิตมักทำการใส่ไส้กรองมาให้เรียบร้อยโดยที่เราไม่สามารถเห็นฉลากได้ แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ซื้อยังสามารถดูมาตรฐานได้จากไส้กรองไส้กรองที่แถมมาให้ หากไม่มีฉลากติดอยู่ มั่นใจได้เลยว่าเป็นไส้กรองไม่ได้มาตรฐาน ถึงจะแถมมา 10 อัน ก็ไม่ได้มีค่าเลย
ถามว่าไส้กรองไม่ได้มาตรฐานจะมีผลเสียอย่างไร? อย่างแรกคือ มีความสามารถในการกรองไม่ดี ทำให้ไม่สามารถกรองสิ่งต่างๆ ได้ดี ทำให้สารแปลกปลอมต่างๆ เข้าสู่น้ำดื่มได้ อีกทั้งหากไส้กรองแตก จะมีผลให้ไส้กรองอื่นๆ ตลอดจนอุปกรณ์เช่น ปั๊ม และวาล์วเสียหายได้อีกด้วย
3.เลือกดูจากบริการในการให้ข้อมูล และบริการหลังการขาย
- การให้ข้อมูลจากพนักงานขายเป็นด่านแรกที่เราสามารถใช้ตรวจสอบเรื่องบริการได้ คือ หากพนักงานขายไม่สามารถให้ข้อมูลได้ หรือพูดไม่รู้เรื่องแล้ว ให้รู้ไว้เลยว่าเราไม่สามารถหวังอะไรจากการบริการหลังจากนี้เลย
- บริการหลังการขาย เป็นสิ่งที่ต้องตรวจสอบให้มาก เพราะในตลาดมีหลายรายที่รับประกันเฉพาะชิ้นส่วนอะไหล่ แต่ประกันไม่ครอบคลุมค่าแรงช่าง ซึ่งเวลาเกิดความเสียหายขึ้น ทางผู้ซื้อต้องสวมบทบาทช่างเอง โดยการถอดชิ้นส่วนที่เสียหายไปเคลมกับผู้ผลิตที่โรงงานผู้ผลิต ซึ่งทำให้เกิดความไม่สะดวกอย่างมากในการใช้งาน แต่ก็มีข้อดี คือ ราคาสินค้าจะถูกลงเพราะผู้ผลิตไม่ได้ตั้งราคาให้มีค่าใช้จ่ายการบริการหลังการขายลงในราคาสินค้า ซึ่งผู้ซื้อคงจะต้องตัดสินใจเองว่ามีความสามารถทางด้านช่างเพียงพอที่จะทำการซ่อมเองหรือไม่ ก่อนเลือกซื้อสินค้าที่ราคาถูกแต่บริการหลังการขายไม่ดี
ที่มา : https://www.thetaradev.com/